505 จำนวนผู้เข้าชม |
พิธีเททองชนวนนำฤกษ์พระชัยวัฒน์ และพิธีบวงสรวงเวลา ๐๙. ๓๙ .น
พระคณาจารย์นั่งปรกอธิตฐานจิต ๔ รูป พิธีเททองที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗
(รับบัตรแจกวัตถุมงคลฟรี)
แล้วในวันพุธที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ (มารับวัตถุมงคลที่ได้บัตรไป)
แก่ผู้มาร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ อุโบสถวัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม
จุดประสงค์ปฏิสังขรณ์มณฑปพระพุทธบาทจำลอง
สร้างมาสมัย พ.ศ. ๒๔๓๓ ชึ่งเป็นสถานที่ชำรุดลงมากแล้วและสถานที่แห่งนี้เองชึ่งเป็นสถานที่หลวงปู่บุญ บรรจุพระเครื่องที่ท่านได้สร้างไว้ส่วนหนึ่งและได้พบเมื่อครั้งที่ขโมยเข้ามางัดมณฑปเพื่อโจรกรรมพระพุทธรูปและพระพิมพ์ชัยวัฒน์ต่างๆมากมายและในปีนั้นหลวงปู่เพิ่ม ปุญญวสโณได้ใช้พระปลัดใบ คูณวีโร ได้ไปเก็บพระที่มณฑปลอยพระบาทเอามาไว้ที่กุฏิหลวงปู่ได้ปฏิสังขรณ์เพราะสาเหตุเมื่อปี2554 เกิดน้ำท่วมทำให้มณฑปลอยพระบาทเอียง(บริเวณฐานชำรุด )และในปี2557ห่างมานานเป็นร้อยกว่าปีแล้ว (ความเห็นคณะสงฆ์และกรรมการวัดกลางบางแก้วจึงปรึกษาหาหรือกันควรจะซ่อมแซมมณฑปลอยพระบาทเพื่อไม่ให้เกิดการชำรุดไปมากกว่านี้เพื่อเป็นอนุสรน์หรือที่หลวงปู่บุญได้สร้างไว้ด้วยเดชจำนงค์เวลาสักการะลอยพระบาทจะได้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าไม่ต้องเดินทางใกล้ไปถึงลอยพระบาทสระบุรีแต่ปัจจุบันนี้หลวงปู่บุญได้สร้างไว้ที่วัดกลางบางแก้วนับแต่นั้นมาก็เป็นประเพณีประจำปีปิดทองลอยพระพุทธบาทในวันมาฆะบูชา วันเพ็ญเดือน ๓ ขึ้น ๑๔ ค่ำขึ้น ๑๕ ค่ำแรม ๑ ค่ำ ของทุกปีสืบมาฯ
รอยพระพุทธบาท ถือว่าเป็นพระเจดีย์อย่างหนึ่ง เรียกว่าอุเทสิกเจดีย์ จึงได้รับการสักการะเช่นเดียวกับพระพุทธรูป เป็นการสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่รำลึกสักการะ ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเปนพระพุทธลักษณ์แห่งมงคลทั้ง ๑๐๘ ประการ ที่มีความหมายว่านี้คือพระพุทธองค์ นี้คือ ธรรมะ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เพื่อให้เตือนสติและเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นที่เคารพสักการะของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เพื่อจักได้ปฏิบัติตามท่านเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง รอยพระพุทธบาท คือ หนทางของพระพุทธเจ้า เป็นผู้รู้ที่เดินมาก่อน ท่านบอก ท่านสอนให้เราเดินตามท่านไปสู่จุดหมายปลายทางคือพระนิพพาน รอยพระพุทธบาทจึงเป็นทั้งปริศนาธรรมและความ
เป็นจริง ซึ่งเป็นสัจจธรรมที่มีความหมายเดียวกัน .
ภาพสวรรค์และรูปพรหม มีประมาณ ๒๔ ภาพ (สวรรค์ ๖ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น) อันได้แก่
๑. รูปพรหมชั้นสูงสุด คือ อกนิฏฐาพรหม ชั้นที่ ๑๖ ๒. รูปพรหมชั้นที่ ๑๕ คือ สุทัสสีพรหม
๓. รูปพรหมชั้น ๑๔ คือ สุทัสสาพรหม ๔. รูปพรหมชั้น ๑๓ คือ อตัปปาพรหม
๕. รูปพรหมชั้น ๑๒ คือ อวิหาพรหม ๖. รูปพรหมชั้น ๑๑ คือ เวหัปผลาพรหม
๗. รูปพรหมชั้น ๑๐ คือ อสัญญีสัตตพรหม (หรือ พรหมลูกฟัก) ๘. รูปพรหมชั้น ๙ คือ สุภกิณหาพรหม
๙. รูปพรหมชั้น ๘ คือ อัปปมาณสุภาพรหม ๑๐. รูปพรหมชั้น ๗ คือ ปริตตสุภาพรหม
๑๑. รูปพรหมชั้น ๖ คือ อาภัสสราพรหม ๑๒. รูปพรหมชั้น ๕ คือ อัปปมาณาภาพรหม
๑๓. รูปพรหมชั้น ๔ คือ ปริตตาภาพรหม ๑๔. รูปพรหมชั้น ๓ คือ มหาพรหมาพรหม
๑๕. รูปพรหมชั้น ๒ คือ พรหมปุโรหิตาพรหม ๑๖. รูปพรหมชั้น ๑ คือ พรหมปาริสัชชาพรหม
๑๗. เป็นชั้นเทวโลกแดนกามาวจรภูมิ เป็นแดนของเทพเทวดาสวรรค์ ชั้นที่ ๖ เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด คือ ปรนิมมิตวสวัตตี
๑๘. สวรรค์ชั้นที่ ๕ คือ สวรรค์ชั้นนิมมานรดี ๑๙. สวรรค์ชั้นที่ ๔ คือ สวรรค์ชั้นดุสิตตา
๒๐. สวรรค์ชั้นที่ ๓ คือ สวรรค์ชั้นยามา ๒๑. สวรรค์ชั้นที่ ๒ คือ สวรรค์ชั้นดาวดึงสา
๒๒.สวรรค์ชั้นที่ ๑ คือ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ๒๓.สัญลักษณ์ของสวรรค์ดาวดึงส์นั้นตั้งอยู่บนยอดประธาน
๒๔.มีสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาอยู่บนยอดรองทั้ง ๔ ยอด ของเขาพระสุเมรุ อันเป็นแกนของจักรวาล
ภาพมงคลอื่นๆ อันได้แก่ ๑. ภาพพระแสงหอก (สันติ) เปรียบ เสมือนพระอรหัตมรรคญาณและพระอรหัตผลญาณ
ที่สามารถกำจัดหมู่มาร คือ กิเลสทั้งปวงได้ เรียกว่า ธรรมรัตนะหรือรัตนมงคล
๒. แว่นส่องพระพักตร์ (สิริวัจโฉ) มีความหมายว่า รัตนอุสภราช ซึ่งเป็นสิริมงคลทำให้เจริญได้โดยลำดับ
เกิดขึ้นที่ฝ่าพระบาททั้งสอง ของพระพุทธเจ้า
๓. ดอกพุดช้อน (นันทิยาวัตตัง) หมายความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปรียบเสมือน พญาราชสีห์ บันลือสีหนาทยิ่งใหญ่
สีหราชนั้นทำพุทธสิริมงคลให้เจริญ
๔. สายสร้อย (โสวัตถิกัง) ท่าน อธิบายว่า เป็นรัตนะชื่อว่า รัตนโสตถิมงคล กล่าวคือ ผ้ารัตนบังสุกุลสามารถกำจัดเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง รัตนโสตถิ มงคลเป็นใยแก้ว สามารถจะให้สำเร็จการชวนดูชวนเห็นแก่เทวดาและมนุษย์ได้ตามสมควร
๕. ต่างหู (วัฎฎังสกัง) ได้แก่ การแทงตลอดมรรคผลด้วยวชิรญาณดุจการคล้องพวงดอกไม้แก้วให้เป็นสิริมงคลที่บ่า และศีรษะอันทำให้พระพุทธสิริคลเจริญ
๖. ถ้วยภาชนะ (วัทธมานัง) ได้แก่ ภาชนะทอง ชื่อว่าของที่รองรับน้ำนม เป็นสิ่งที่ทำให้พระพุทธมงคลเจริญได้ เกิดขึ้นที่ฝ่าพระบาททั้งสอง ของพระพุทธเจ้า
๗. ปราสาท (ปาสาโท) ชื่อว่า ปราสาทแก้วเป็นพระมหานิพพานนคร คือ รัตนปราสาท อันทำให้พุทธสิริมงคลเจริญ
๘. ขอช้าง (อังสุโส) ได้ชื่อ เป็นขอแก้วเป็นอรหัตมรรคญาณและอรหัตผลญาณ ทำให้พุทธสิริมงคลเจริญ
๙. ซุ้มประตู (โตรณัง) ได้แก่ ประตูแก้วทั้ง ๒ คือ อรหัตมรรค และอรหัตผล เพื่อปิดประตูเมืองป้องกันกิเลส
๑๐. เศวตฉัตร (เสตัจฉัตตัง) เป็น เศวตฉัตรแก้ว อันทำให้พระพุทธสิริมงคลเจริญ
๑๑. พระขรรค์แก้ว (รัตนขัคคัง) คือ พระขรรค์แก้ว สามารถกำจัดกิเลสความเศร้าหมอง เป็นพุทธสิริมงคลที่เจริญ
๑๒. กำหางนกยูง (โมรหัตถัง) ได้แก่ พัดกำหางนกยูง ที่ตกแต่งสวยงาม ทำให้พระพุทธสิริมงคลเจริญ
๑๓. พระแท่นที่ประทับ (ภัททปิฎฐัง) ได้แก่ พระแท่นบัณธุกัมพลรัตนศิลาอาสน์ โคนต้นไม้ปาริฉัตตกะ (ไม้ทองหลาง ทองกวาว) ใน ภาพดาวดึงส์ เป็นสิริมงคลเจริญ
๑๔. พระมงกุฎ (อุณหิสัง) ได้แก่ มงกุฎแก้ว เป็นสิ่งทำให้สิริมงคลเจริญในโลกทั้งสาม
๑๕. เถาวัลย์แก้ว (รัตนวัลลี) เป็น พวงมาลัยแก้ว ให้เถาวัลย์ทองร้อยอย่างดีสวยงามมาก เป็นสิ่งที่ทำให้พุทธสิริมงคลเจริญ
๑๖. พัดแก้ววาลวิชชนี (มณิกาลวิชชนี) เป็น พัดขนทรายที่ทำด้วยจามรี เป็นของงดงามด้วยรัตนะทั้งปวง
ทำให้พระพุทธสิริมงคลเจริญยิ่ง
๑๗. พวงดอกมะลิ (สุมนทามัง) พวง ดวกมะลิแก้ว ใช้ด้ายทองคำผูกห้อยร้อยรัดอย่างดี เป็นเหมือนพระพุทธผู้ประเสริฐ
ทำให้พุทธสิริมงคลเจริญ
๑๘. ดอกบัวแดง (รัตตุปปะลัง) ได้แก่ ดอกอุบลแก้วสีแดง ทำให้พุทธสิริมงคลเจริญ อันเกิดขึ้นที่ฝ่าพระบาททั้งสองของพระพุทธเจ้า ๑๙. ดอกบัวขาบ (นีลุปปะลัง) ได้แก่ ดอกอุบลแก้วสีเขียว ทำให้พุทธสิริมงคลเจริญ
๒๐. ดอกบัวขาว (เสตุปปะลัง) เป็นดอกบัวแก้วสีขาว เหมือนแก้วมณีและแก้วมุกดา ทำให้พุทธสิริมงคลเจริญ
๒๑. ดอกบัวหลวงชมพู (ปทุมัง) เป็น ดอกบัวหรือปทุมแก้ว สีเหมือนแก้วมณี ทำให้สิริมงคลเจริญ
๒๒. ดอกบัวหลวงขาว (ปุณฑริกัง) เป็น ดอกปทุมแก้วสีขาวเหมือนแก้วมุกดา ชื่อว่า บุณฑริกา ทำให้พุทธสิริมงคลเจริญ
๒๓. กระออมมีน้ำเต็ม (ปุณณมโฎ) หมาย ความถึง ภาชนะสำหรับรองรับน้ำนม ภาชนะแก้วมณีทำให้พุทธสิริมงคลเจริญ
๒๔. ถาดมีน้ำเต็ม (ปุณณจาฏิ) เป็น ภาชนะถาดทองคำ สำหรับใส่เครื่องบูชาของเทวดา และมนุษย์ ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน
๒๕. มหาสมุทรทั้ง ๔ (จตุสมุทโท) มี ความหมายว่า ศีล ๔ อย่างเป็นสัจธรรม ๔ ประการ ให้สัตว์ได้บรรลุมรรคผล
๒๖. จักรวาล (จักกวาโฬ) หมาย ความว่า พระผู้มีคพระภาคเจ้าทรงมีพุทธญาณอันวิเศษ ทรงรู้นิสัยแห่งพระองค์ ชื่อว่าเป็นสัพพัญญุตญาณ
๒๗. ป่าหิมพานต์ (หิมวา) ชื่อว่าเป็นพระรูปกายของพระพุทธเจ้าที่มีพระฉวีวรรณดุจทอง สวยงามรุ่งเรืองเกินกว่ามนุษย์เทวดา
๒๘. ภูเขาสุเนรุ (สุเนรุ) ชื่อว่าเป็นพระรูปกายของพระพุทธเจ้าที่มิหวั่นไหวด้วยโลกธรรม ๘ ประการ ดังเช่นภูเขาสุเนรุ
๒๙. ดวงอาทิตย์ (สุริโย) คำนี้เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ทรงกำจัดความมืดมิด คือ กิเลสทั้งปวง
๓๐. ดวงจันทร์ (จันทิมา) เป็น ชื่อว่า พระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าเย็นฉ่ำยิ่งนักเปรียบดังน้ำในมหาสมุทร
ทรงมีเมตตาธรรมและเย็นเยือกดุจพระจันทร์
๓๑. ดวงดาว (นักขัตตา) เป็นชื่อว่า พระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เย็นฉ่ำ แลรุ่งเรืองส่องสว่างกระจ่างแจ้ง เหมือนดวงดาวนักขัตฤกษ์
๓๒. ทวีปใหญ่ทั้ง ๔ ประการ (จัต ตาโรมหาทีป ๔) ความว่า ทวีปใหญ่ทั้ง ๔ เปรียบเสมือนสัจธรรม ๔ ประการ
เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวงดั่งองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า (อาจสร้างภาพ ๑ ถึง ๔ ภาพ)
๓๓. ทวีปน้อย ๒,๐๐๐ ซึ่งเป็นบริวาร (ทวิ สหัสสปริตตทีปปริวารา) มีความหมายถึงทวีปน้อยทั้ง ๒,๐๐๐ ที่เป็นบริวารของ
ทวีปใหญ่ทั้ง ๔ เหมือนเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง
๓๔. พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยข้าราชบริพาร (สปริวาโร จักกวัตติราชา) เปรียบเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นใหญ่ ในโลกทั้ง ๓ ฉันใด พระเจ้าจักรพรรดิก็ทรงมีบริวารของพระองค์ฉันนั้น
๓๕. สังข์ขาวทักษิณาวรรต (ทักขิณาวัฏฏเสตสังโข) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงกุศลธรรมอัน บริสุทธิ์แก่ชาวโลกทั้ง ๓ เพื่อให้เว้นจากธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ คือ อกุศกรรมบถ ๑๐ ประการ ทรงเป็นผู้รุ่งโรจน์โชติช่วงด้วยพระสุรเสียงกึกก้องของพระองค์ เหมือนเสียงสังข์เสียงจักร เรียกว่า สังข์ขาวทักษิณาวัฎ
๓๖. ปลาทองคู่ (สวัณณมัจฉกยุคคะลัง) ความหมายว่า เป็นพระอัครสาวกทั้งสองประดับเบื้องซ้าย เบื้องขวา ที่สมบูรณ์ด้วยปัญญาและฤทธิ์คือ พระสารีบุตรเถระ และพระมหาโมคคัลลานเถระ
๓๗. กงจักรคู่ (ยุคคละจักกัง) เป็น จักรแก้วชื่อว่า พุทธรัตนจักร คือ พุทธรัตนจักร สังฆรัตนจักร
๓๘. แม่น้ำใหญ่ ๗ สาย (สัตตมหาคังคา) เป็นมหาคงคาทั้ง ๗ หมายถึง สัมโพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ดุจมหาคงคาที่ไหลมาไม่ขาดสาย (อาจสร้างภาพ ๑ ถึง ๗ ภาพ)
๓๙. สระใหญ่ ๗ สระ (สัตตมหาสรา) อันเปรียบเสมือนอริยทรัพย์ ๗ ประการ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้แล้วแก่สัตว์ทั้งปวง (อาจสร้างภาพ ๑ ถึง ๗ ภาพ)
๔๐. ภูเขาใหญ่ ๗ เทือก (สัตตมหาเสลา) หมาย ถึง วิญญาณฐิติ ๗ ประการ ที่พระพุทธองค์ทรงดำรงอยู่ในญาณวิสัยของพระองค์ (หมาย เหตุ แม่น้ำใหญ่ ๗ สาย หรือ มหาคงคา ๗ ได้แก่ ชาติคงคา ยมุนาคงคา สรภูคงคา สุรัสดีคงคา อจิรดีคงคา มหิคงคา และมหานทีคงคา ) ส่วนโพชฌงค์ ๗ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปิติสังโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสังโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สระใหญ่ ๗ สระคือ สระอโนดาต สระกมัณฑมุณฑะ สระรถกาละ สระกุณาละ สระฉัททันต์ สระมัณฑากินี และสระสีหปปาตะ อริยทรัพย์ ๗ ประการ คือ ทรัพย์ คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา ทรัพย์คือหิริ และทรัพย์คือโอตตัปปะ ภูเขาใหญ่ ๗ เทือก มี ภูเขาคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวิก ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธร ภูเขาวินตกะ และภูเขาอัสสกัณณะ วิญญาณฐิติ ๗ ประการ คือ อาวัชชนวิญญาณ ฉันนวิญญาณ ทัสสนวิญญาณ สัมปฏิจฉันวิญญาณ โผฏฐัพพนวิญญาณ ชวนะวิญญาณ และอาลัมพนวิญญาณ เรียกว่า วิญญาณฐิติ ๗ อย่าง
๔๑. พญาครุฑ (สุปัณณราชา) เป็น ความหมายที่ว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้พระวชิรญาณกำจัดกิเลส ๑,๕๐๐
เหมือนพญาครุฑกำจัดพญานาค ซึ่งเป็นคู่อริกัน
๔๒. พญาจระเข้ (สุงสุมารราชา) ใน ความหมายว่า พระพุทธเจ้าทรงดำรงอยู่ในพระสัพพัญญุตญาณ อันเป็นพระรูปกายของพระองค์
เพื่อจะรักษาพระองค์และรักษาชาวโลกทั้ง ๓ ไว้มิให้ไปตกอบายภูมิทั้ง ๔ เหมือนพญาจระเข้ รักษาตนและหมู่ญาติของตนในเภสกลาวัน
หรือสระบัวนั่นเอง
๔๓. ธงชัยธงแผ่นผ้า (ธชะปฏาณ) คือ ธงชัยแผ่นผ้าทอง ประดับด้วยธรรม คือ อรหัตมรรคญาณ และอรหัตผลญาณ ประดับด้วยเครื่อง บูชาพระพุทธเจ้า
๔๔. พระเก้าอี้แก้ว (รัตนปาฏังกิ) เป็น ความหมายถึงพระที่นั่งรัตนบัลลังก์ของพระพุทธเจ้า ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ที่ทรงตรัสรู้
พระสัพพัญญุตญาณ
๔๕. พัดโบกทอง (สุวัณณจามโร) สุวรรณจามรเป็นพัดโบกทองคำ ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ สุวรรณจามรมี ๒ ชนิด คือ
ทำด้วยขนหางจามรีกับทำด้วยผ้าและใบไม้ เป็นต้น
๔๖. ภูเขาไกรลาส (เกลาสปัพพโต) เปรียบ เป็นภูเขาทองที่งดงามยอดยิ่งกว่าภูเขาใดๆ ดังพระพุทธเจ้าที่ทรงสมบูรณ์งดงามยิ่งนัก ๔๗. พญาราชสีห์ (สีหราชา) พระ พุทธองค์เปรียบดังพญาราชสีห์ ทรงประกอบด้วย พระเวสารัชชญาณ ๔ ประการ เสด็จเข้าไปกลางบริษัททั้ง ๔ เพื่อทรงแสดงสัจธรรม ๔ ด้วยพระพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง เสมือนพญาราชสีห์ที่ประกอบด้วยบันลือสีหนาทของตน ใน บทสวดที่ว่า นโมตัสสะ เป็นเวสารัชชญาณ ภควโต เป็นเวสารัชชญาณ อรหโต เป็นเวสารัชชญาณ สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นเวสารัชชญาณ ดังนั้น คำว่า นโมพุทธธัสสะ นโมธรรมมัสสะ นโมสังฆฆัสสะ มีประโยชน์เพื่อกำจัดอันตรายทุกอย่างและบทสวดที่ว่า “หูลู หูลู หูลู สวาหายยะ” นั้น จึงมีความหมายว่าอันตรายทุกอย่าง เช่น ความมีโรคมาก มีทุกข์มาก มีความโศกเศร้ามาก มีศัตรูมาก มีความขัดข้องมาก มีภัยมาก เมื่อกล่าวขึ้นอันตรายทุกอย่างเหล่านี้ย่อมพินาศไปสิ้น ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธองค์ ดังเสียงบันลือสีหนาทนั่นเอง
๔๘. พญาเสือโคร่ง (พยัคฆราชา) พระ ผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนพยัคฆราชทรงประดับด้วยพระสัพพัญญุตญาณ พระองค์ทรงตรัสรู้
พระญาณที่ ๑ คือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (ระลึกชาติได้) ในปฐมยาม ทรงตรัสรู้พระญาณที่ ๒ คือ ทิพพจักขุญาณ (ตาทิพย์) ในมัชฌิมยาม ทรงตรัสรู้พระญาณที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ (ทำให้กิเลสหมดไป) ในปัจฉิมยาม ญาณทั้ง ๓ อย่างนี้ จึงเป็น พระสัพพัญญุตญาณ
๔๙. พญาเสือเหลือง (ทีปิราชา) พระ พุทธเจ้าไม่ทรงยินดีในกามคุณทั้ง ๕ อันเป็นวิสัยในโลกทั้ง ๓ คือ พระองค์ไม่ทรงยินดีอะไรที่เกิดขึ้นในโลกทั้ง ๓ นี้ แต่พระองค์ทรงยินดีในนวโลกุตรญาณธรรม คือ พระสัพพัญญุตญาณ เพื่อประโยชน์ด้วยมรรคผลนิพพาน
จึงได้รับพระนามว่า ทีปิราชา หรือพญาเสือเหลือง
๕๐. พญาม้าพลาหก (พลาหโกอัสสราชา) ม้า พลาหกประกอบด้วยการก้าวเดินที่สง่า สวยงามกว่าสัตว์ชนิดใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงประกอบไปด้วยพละกำลังมาก ทรงกำลังกายถึง ๑๐ ประการ สวยงามกว่าสัตว์ใดๆ ทั้งหมด จึงได้รับการถวายพระนามว่า พลาโหอัสสราชา คือ ม้าพลาหกนั่นเอง
๕๑. พญาช้างอุโบสถ (อุโปสโต วารณราชา) พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงยินดีในอารมณ์วิสัยกามคุณ ๕ อะไรๆ ตลอดกาล แต่จะทรงยินดีอารมณ์พระนิพพาน อันเป็นนวโลกุตรญาณธรรม จึงได้รับการถวายนามเป็นช้างอุโบสถ หรืออุโบสโถวารณราชา
๕๒. พญาช้างฉัททันต์ (ฉัททันโตวารณราชา)พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระรัศมีมีพรรณ ๖ ประการประดับอยู่ทั่วพระวรกายท่าน
๕๓. พญานาควาสุกรี (วาสุกีอุรคราชา) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประดับด้วยพระสัพพัญญุตญาณ พญากาลนาคราชได้ถวายอาสนะบัลลังก์แก้วของตนแด่พระองค์ ครั้งนั้นพระองค์ประทับนั่งเสวยวิมุติสุขเหนือบัลลังก์นั้น เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแด่พญากาลนาคราช วาสุกีอุรคราชา มี ๒ อย่าง คือ โลกิยราชา กับโลกุตรราชา
๕๔. พญาหงส์ (หังสราชา) มีความหมายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไม่ทรงยินดีโลกิยสาระ คือ เงินทองมีแก้ว ๗ ประการ เป็นต้น แต่พระองค์ทรงยินดีในโลกุตรธรรม คือ มรรคผลนิพพานจึงได้รับการถวายพระนามว่า หังสราชา
๕๕. พญาไก่เถื่อน พญาโคอุสภราช (พลกุกกุฏอุสภราชา) มี ความว่าเมื่อครั้งก่อนพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยพระชาติเป็นโคอุสภราช มีนามว่า สุมังคละ ไม่ทรงสนพระทัยศัตรูที่จะทำให้พระองค์หวั่นไหวกลางคัน คือ ทรงละศัตรูที่จะทำการประทุษร้ายพระองค์เสียแล้ว ทรงสนพระทัยจะแสดงธรรมโปรดสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น เพราะเหตุนี้พระองค์จึงได้รับการถวายพระนามว่า พลกุกกุฏอุสภราชา
๕๖. พญาช้างเอราวัณ (เอราวัณโณนาคราชา) มีความว่า พระพุทธองค์ทรงตั้งอยู่ในอริยธรรม ทรงยินดีในศีลสาระ ดุจพญาช้างที่ตั้งอยู่ในอริยมรรค พระองค์จึงได้รับการถวายพระนามว่า เอราวัณโณนาคราชา คำว่า เอ เป็นการแสวงหา รา เป็นความยินดี เอรา จึงเป็นการค้นหาสาระในอริยธรรมอันยิ่งใหญ่ตลอดกาลเป็นเนืองนิตย์
๕๗. มังกรทอง (สุวัณโณมังกโร) เปรียบดังพระพุทธองค์ทรง มีความประพฤติที่กล้าแข็ง ในอรหัตมรรคญาณ และอรหัตผลญาณ คือ วชิรญาณ สามารถตัดกิเลสทั้งปวงได้ ประดุจเลื่อยเพชร จึงได้รับการถวายพระนามว่า สุวัณโณมังกโร
๕๘. แมลงภู่ทอง (สุวัณโณภมโร) พระพุทธองค์เปรียบดั่งผึ้ง เคล้าคลึงละอองเกสรใหม่จากดอกไม้ทั้งหลาย โดยไม่ทำลายต้นให้เสียหาย ประดุจที่ทรงคบหาบริษัท ๔ ทรงกำจัดมานะในใจของบริษัทเหล่านั้นให้ขาดได้ จึงได้รับการถวายพระนามว่า สุวัณโณ ภมโร
๕๙. ท้าวมหาพรหมสี่พักตร์ (จตุมุโขมหาพรหมา) พระ พุทธองค์ทรงประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทรงแสดงพรหมวิหารให้สัตว์ทั้งหลาย จึงได้รับการถวายพระนามว่า จตุมุโข มหาพรมหา
๖๐. เรือทอง (สวัณณนาวา) มีความหมายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบดังเรือทองที่ทรงช่วงสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามมหาสมุทร อันลึกล้ำ คือ สงสาร ให้ไปถึงฝั่งคือ นิพพาน เรือทองจึงเป็นอรหัตมรรคญาณและอรหัตผลญาณ ฉะนี้
๖๑. บัลลังก์แก้ว ( รันตปัลลังโก) เป็นบัลลังก์แก้ว คือ รัตนบัลลังก์ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงกำจัดหมู่มารได้ด้วยอานุภาพบารมี ๑๐ ของพระองค์
๖๒. พัดใบตาล (ตาลปัณณัง) ท่านหมายว่า ใบตาลแก้ว คือพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงเมตตาธรรมอันเยือกเย็นไว้ในหัวใจของชาวโลกทั้ง ๓ โลก ด้วยพระมหากรุณาของพระองค์
๖๓. เต่าทอง (สุวัณโณกัจฉโป) มีความหมายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตัดกิเลสด้วยวชิรญาณ เพราะเหตุนี้พระองค์จึงได้รับ
การถวายพระนามว่า สุวัณโณกัจฉโป
๖๔. แม่โคลูกอ่อน (สุวัจฉกา คาวี) หมายถึง พระพุทธองค์ทรงแสดงโลกุตตรธรรม ๙ มีชื่อว่า อมตมหานิพพาน แก่ชาวโลกทั้ง ๓
ด้วยพระมหากรุณาของพระองค์ ดุจแม่โคที่มีใจเมตตารักลูกของตน
๖๕. กินนร (กินนโร) มีความหมายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาของพระองค์ ไม่ทรงเบียดเบียนสัตว์
พระองค์จึงได้รับการถวายพระนามว่า กินนโร
๖๖. กินนรี (กินนรี) พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงประกอบ ด้วยพระมหากรุณาไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นๆ จึงได้รับถวายพระนามว่า กินนรี
๖๗. นกการเวก (กรวิโก) พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม คือ มรรคผลนิพพาน คือ โลกุตตรธรรม ๙ แก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะยิ่งนัก ดังนี้ พระองค์จึงได้รับการถวายพระนามว่า กรวิโก หรือ การะเวก
๖๘. พญานกยูง (มยุรราชา) มีความหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้รับการถวายพระนามว่า มยุรราชา
๖๙. พญานกกระเรียน (โกญจราชา) หมายถึง การที่พระพุทธองค์ไม่ทรงเยียบถูกพื้นดิน เมื่อคราวเสด็จไปไกลๆ ทรงเหาะไปทางอากาศด้วยฤทธิ์ ดังนั้น จึงได้รับการถวายพระนามว่า โกญจราชา หรือ พญานกกระเรียน
๗๐. พญานกจากพราก (จากวากราชา) ด้วยที่พระพุทธเจ้าทรงบันลือสีหนาทใหญ่ที่ประกอบด้วยการแสดงธรรม คือ ทศพลญาณแก่ชาวโลกทั้ง ๓ เพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพาน พระองค์จึงได้รับการถวายพระนามว่า จากวากราชา คือ พญานกจากพราก
๗๑. พญานกพริก (ชีวัญชีวกราชา) หมายความถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงปลดเปลื้องสัตว์ให้พ้นไปจากมิจฉาชีพ ให้เลี้ยงตนด้วยสัมมาชีพ พระองค์จึงได้รับการถวายพระนามว่า ชีวัญชีวกราชา คือ พญานกพริก นั่นเอง
มิจฉาชีวัง หมายความว่า สัตว์ทั้งหมดในโลกนี้ที่จะต้องไปอบายนรก ย่อมกระทำเวรกรรม ๕ ประการ คือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มสุราเมรัย เวรกรรมทั้ง ๕ ประการ ที่สัตว์ทั้งหลายกระทำในโลกนี้ เรียกว่า มิจฉาชีพ
สัมมาชีวัง หมายถึง สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ที่จะได้ไปสวรรค์ คือ ย่อมไม่ทำเวรกรรม ๕ ประการ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มสุราเมรัย เวรกรรมทั้ง ๕ ประการนี้ ถ้าสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ไม่กระทำ เรียกว่า สัมมาชีพ
หาก นำจำนวน ๒๔ มาบวกกับ ๗๑ จะได้เพียง ๙๕ ภาพ ยังขาดไป ๑๓ ภาพ จึงจะครบ ๑๐๘
แต่ความจริงแล้ว หากนับรวมภาพทวีป มหาสมุทร สระใหญ่ ภูเขาใหญ่ ก็จะได้ครบ ๑๐๘ ภาพ
อันเปนมงคล บนรอยพระพุทธบาท แลฯ